Pages

Saturday, July 13, 2013

มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนถ้าคุณไม่ทำให้มันเปลี่ยน - Nothing changes unless you make it change

เมื่อวานดูหนังมา the Samaritans มีประโยคนี้ตอนเริ่มต้นหนัง "Nothing changes unless you make it change"

โดนใจพี่

ถ้ายังทำเหมือนเดิม อยู่ที่เดิม เหตุการณ์มันก็เหมือนเดิม

ช่วงนี้รู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจกับหลาย ๆ เรื่อง หลายเรื่องอยากเปลี่ยนแปลง

เรื่องงาน

สองสามวันมานี้คิดว่าจะลาออกดีไหม เพราะงานนี้ไม่ทำให้เราโตแล้ว

คือว่ามันสุดละ ถ้าไม่ขยับไปทำในตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือหางานอื่นทำ งานที่ทำอยู่มันไม่ตอบโจทย์ชีวิต

ชีวิตที่ต้องการคือ มีเงินใช้จ่ายอย่างเหลือเฟือในทุกเรื่อง มีเวลาทำสิ่งที่อยากทำ คนทั่ว ๆ ไปก็เรียกว่ารวยนั่นแหละ

แต่งานที่ทำให้ความสนุกสนาน เราชอบงานบริการ อยากทำให้ชีวิตทุกคนดีขึ้น อยากจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ทุกคนอะนะ

ฟังดูเวอร์ แต่อยากให้ทุกคนอย่างนั้นจริง ๆ

เพราะฉะนั้น อยากมีรายได้มากขึ้น เพื่อจะได้มีชีวิตอย่างที่ต้องการ

เราได้ทำการ พยายามขายรูปให้ได้มากขึ้น ใช้เวลาอยู่หน้าคอมเพื่อทำรูปขาย แต่มันก็ต้องแลกกับการปวดหลัง เมื่อยอะ แล้วก็ต้องไปนวด ถ้านั่งอีก เมื่อยอีก ก็นวดอีก วงจรเดิม ๆ

มันก็ได้ผลมานะ แต่มันยังไม่ถึงเป้า

เราพยายามใช้สิ่งที่มีอยู่ คือว่าไม่ไปหาซื้ออะไรเพิ่ม

แต่คอมตัวนี้ช้ามาก เดี๋ยวก็ not responding อยู่นั่น พอวาดรูป จะเซฟก็ not enough memory

แบตเสื่อมอย่างรุนแรง ไฟตกนิดนึงดับเลย คือแบตเตอรี่ไม่ได้ช่วยสำรองไฟเลยอะ

เราก็เลยโทรไปหาพ่อ บอกอยากได้คอมใหม่ ขอกันอย่างงี้แหละ อย่างน้อยก็ได้ขอ พ่อบอกไม่มีงบ

เราก็มีเงินนะ อยู่ในหุ้น จะขายออกมาซื้อคอม ไม่รู้เป็นการตัดสินใจที่ถูกรึป่าว

จะซื้อคอมมือสอง ก็ไม่รู้เป็นการตัดสินใจที่ถูกรึป่าว คิดอยู่เนี่ย

พ่อก็ถามให้ไปสมัครงาน คือว่าพ่ออยากให้ทำงานราชการอะ บอกให้ไปดูเว็บกพ. เค้าเปิดสอบ เราบอกพ่อไปว่าเราไม่ดูหรอก เราไม่สนใจ

ความคิดของพ่อกับความคิดของเรามันไม่ค่อยไปทางเดียวกันอะ พ่อเติบโตมาในแบบเจนเนอเรชั่นของพ่อ เราบอกพ่อว่ากลยุทธ์ในแบบเจเนอเรชั่นของพ่อมันใช้ไม่ได้ผลแล้ว พ่อไม่เข้าใจ กลยุทธย์ที่ว่าคือ ไปทำงานเป็นข้าราชการหรือไปทำงานกับบริษัทใหญ่ ๆ ซึ่งพ่อมองว่ามีความมั่นคง แล้วสุดท้ายเกษียนก็กินบำนาญ พ่อ(และแม่เราด้วย) เป็นข้าราชการ ทำงานอยู่ในองค์กรเดิมมาทั้งชีวิตอะนะ

เราอ่านหนังสือของโรเบิร์ต คิโยซากิ กับ โดนัล เจ ทรัมป์ สรุปว่า เราจะมัวรอให้รัฐบาลคอยช่วยเหลือเราไม่ได้ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง ต้องดูแลตัวเองให้ได้ ในหนังสือตอนหนึ่งเค้าพูดประมาณว่า ถ้าน้ำมันขึ้นราคาเป็นลิตรละร้อย เค้าก็ไม่เดือดร้อน แต่เรานี่สิจะเดือดร้อน เพราะฉะนั้น เราถึงต้องรวยไง

งานราชการ ไม่ตอบโจทย์ชีวิตเรา

เราคิดมาหลายวันว่าจะคุยกับคนที่มีอิสระภาพทางการเงิน คนนี้เรารู้จักผ่านทางกลุ่มเล่นหุ้น เค้าอายุไม่มากและพูดได้ว่าเป็นคนที่มีอิสระทางการเงินแล้ว เราทักในเฟสบุคไป เราก็คุยไม่ค่อยถูกนะว่าจะเริ่มยังไงดี ประเด็นคือ เราอยากรู้ว่าวัน ๆ เค้าใช้ชีวิตยังไงเหรอเค้าคิด เค้าทำอะไร เราถามเค้าว่าอยากได้ผู้ช่วยมั้ย เราทำงานให้ฟรี เป็นคนขับรถก็ได้ ฮ่า ๆ

แต่มันยังไงดีล่ะ มันดูจะเข้าถึงกันยากอะ มีโพสต์นึงของเค้าเราจำได้ เค้าบอกว่าถ้าอยากรวย คำแนะนำแรกคือ เลิกทำงานให้คนอื่นรวย เราจำได้เลย วันนี้เราถามถึงคำแนนำข้อที่สอง เค้าบอกว่าให้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ถ้าทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เราจะมีความอึดมากกว่าคนอื่น

เราได้อ่านได้ฟังได้คุยถึงว่า คนเราควรทำในสิ่งที่ตัวเองรัก มาจากสื่อมากมายหลายที่หลายคน

แต่เราเหมือนติดอะไรก็ไม่รู้อยู่ สิ่งที่เรารักคืออะไร คือแมว คือกาแฟ ฯลฯ เหมือนตีโจทย์ไม่แตกซักทีอะ

กลับมาถึงงานที่ทำ

ได้คุยกับเจ้าของร้านวันนี้ เราได้เห็นมุมมองของเจ้าของร้านในการพาร้านไปข้างหน้า และในวันก่อน ๆ เราก็ได้รับรู้มุมมองในการทำงานของพนง. คนอื่น ๆ ในร้าน

เห็นเลยว่าคนเป็นผู้ประกอบการ กับลูกจ้างอะความคิดไม่เหมือนกัน

ธุรกิจ ถ้าจะให้อบู่ได้ด้วยตัวของมันเอง มันต้องอยู่ด้วย "ระบบ"

เจ้าของร้านพยายามสร้างระบบขึ้นมา ลองผิดลองถูก ซึ่งหนูทดลองก็คือพนง. ในร้านนั่นเอง เจ้าของร้านรู้ว่าปัญหามันต้องมีเกิดขึ้นอยู่แล้ว ก็จะแก้ปัญหาไป

พนักงาน ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เอาอะไรใหม่ ๆ มาให้ลองทำหรือทำเพิ่ม ไม่ชอบ และไม่พูดเพราะไม่อยากมีปัญหา

แต่พอเจ้าของร้านถามว่ามีอะไรจะพูดมั้ย บอก ไม่มี แล้วก็มาบ่นกันเองว่า ทำไมต้องมีอย่างนั้น ทำไมต้องมีอย่างนี้ ทำไมคนนั้นก้าวหน้ากว่า

มุมมองของเราคือ คนที่ไม่ก้าวหน้า เค้าพอใจที่จะอยู่ ณ จุดนั้น ไม่ทำการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว

อย่างเราพอใจจะทำแค่นี้ เราไม่เดือดร้อนนะ ที่จะได้เงินเดือนเท่านี้ เงินมันมาตามผลงาน

มีอีกประโยคคือ คนรวยรับเงินตามผลงาน ส่วนคนไม่รวยเอาเวลาไปแลกเงินน่ะ

ในหัวเราเข้าใจแนวความคิดแบบนี้นะ เราอ่านหนังสือแนวพัฒนาตนเองมาพอสมควร

เราบอกเพื่อนร่วมงานว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น เค้าบอกเราว่า เป็นฟูลไทม์สิ คือให้เราเอาเวลาไปทำงานเยอะขึ้นนั่นเอง

มันก็ได้เยอะขึ้นจริง แต่ไมาเยอะในแบบที่เราจะมีชีวิตได้อย่างสบาย ๆ อะ

ถ้าทำงานหกวัน วันละแปดชั่วโมง กลับมาก็เป็นซอมบี้แล้ว อีกวันเอาไปซักผ้า จบละชีวิต เหมือนอยู่ไปวัน ๆ เราเคยมีชีวิตแบบนี้มาเดือนหนึ่ง ทำงานก็เหนื่อย ปวดเมื่อย ไม่ต้องคิดถึงออกกำลังกายเลย ไม่มีแรงแล้ว ในสมองไม่สามารถจะคิดสร้างสรรค์อะไรได้อีกแล้ว เหนื่อยเกิน และมันก็ไม่ใช่ชีวิตในแบบที่เราต้องการ

เรื่องความรัก

ขอบคุณจักรวาลที่ส่งความรักดี ๆ มาให้ แฟนเหมือนเป็นของขวัญ ส่งมาได้ถูกที่ถูกเวลา

ทำให้คิดได้ว่าบางสิ่งที่เรายังไม่มีในตอนนี้ อาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาของมันก็ได้

ณ วันนี้ ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ถึงเราจะเหงา แต่เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้

ถ้าอยากอยู่ด้วยกัน ก็ต้องทำอะไรซักอย่างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

อยากมีบ้านก็ต้องซื้อบ้าน

อยากมีรถก็ต้องซื้อรถ

ช่วงเวลาที่ห่างกัน เราเชื่อว่ามันจะทำให้เราทั้งคู่เติบโต

เธอได้กลับไปบ้านของเธอ(ซึ่งไม่ได้กลับมานานแล้ว) ได้กลับไปเจอครอบครัว เจอเพื่อน ได้ไปบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ได้พบเจอมาจากอีกฟากโลกหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดี

ชีวิตเราเอง ก็ต้องคิดว่าจะทำยังไงต่อ เราก็เหงาแต่ก็ต้องหาอะไรทำ เหมือนมีปัญหาเราต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อแก้ไขมัน ต้องยอมรับว่าปัญหามีได้ตลอดเวลา เราก็แค่แก้ปัญหาเอง ยิ่งปัญหาใหญ่แค่ไหน เราก็จะยิ่งเติบโตมากขึ้นเท่านั้น

และเราก็รู้ว่าดื่มแอลกอฮอล์ไม่ช่วยแก้ปัญหา มันอาจช่วยเราในตอนต้นให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ปัญหาจะหมดไป เราต้องแก้เอง แต่ก็ไปดื่มบ้าง เพื่อความหนุกหนาน ไรเง้ บางทีคนเราก็ต้องการแอลกอฮอล์

สุดท้ายนี้เราต้องรักในชะตาชีวิตตัวเอง (Amor Fati)

เคป้ะ

วันนี้เขียนเยอะเลย ถ่ายรูปมาลงบางหน้า




พอละ โพสต์นี้ยาวจุงเบย


No comments:

Post a Comment

คอมเมนท์ดิ ดิ ดิ ดิ!

Stock Images

My latest images for sale at Shutterstock:

My most popular images for sale at Shutterstock: