Pages

Thursday, December 18, 2014

ชีวิตตามสไตล์ - My life

ถ้านับถึงตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกเกือบ 2 สัปดาห์จะครบ 6 เดือน ที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ

ปลายปีนี้ก็จะกลับเชียงใหม่ละ

อย่างที่เขาว่า The right book will come into the right hand at the right time (ใครว่าวะ)

เฉกเช่นการมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯนี่เหมือนกัน(งั้นเลยเรอะ) ถ้ามาเร็วกว่านี้ อาจจะไม่ประทับใจ เพราะในใจเด็กบ้านนอก มันจะมีการต่อต้านการใช้ชีวิตในเมืองหลวงอยู่นิดนึง ภาพในจินตนาการคือ เมืองหลวง ร้อน วุ่นวาย สับสน อันตราย

แต่พอมาใช้ชีวิตเองจริง ๆ ทำให้เราได้เห็นว่า ทุก ๆ เมืองก็มีทั้งด้านดี ด้านไม่ดี เอาเข้าจริง ๆ กรุงเทพฯ มันก็อยู่ได้

เหตุการณ์มันเริ่มจากตอนเรียนป.โท รับทุนมา เลยต้องหางานในหน่วยงานของรัฐเพื่อทำงานชดใช้ทุน แต่เราก็ไม่ค่อยชอบ(ทำได้ไม่ดี)ในสายที่เราเรียนมา ระหว่างเรียนเราก็เลยไปสมัครทำงานร้านกาแฟด้วย แบบว่าอยากใช้แรงงาน ไม่อยากใช้สมอง... -..-"

พอเรียนจบ ทำงานร้านกาแฟ พอถึงจุดหนึ่งก็ลาออกร้านกาแฟ และประจวบเหมาะกับเพื่อนเราคนหนึ่งได้มาชวนให้เปิดร้านกาแฟด้วยกัน เราก็ตอบตกลง เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าของร้านกาแฟเก่าที่เราเคยทำงานด้วยไม่พอใจเป็นอย่างมาก(อะไรแว้) เกิดเหตุการณ์ดราม่าอยู่พักหนึ่ง แต่ก็นะ ชีวิตเราก็ต้องดำเนินกันต่อไป เราก็ใช่ว่าจะเปิดร้านกาแฟกับเพื่อนอย่างราบรื่น สวย ๆ นอนมางี้

เปิดร้านกาแฟได้ 1 เดือน มีเราคนเดียวที่ทำกาแฟได้ เราจัดการระบบทุกอย่างในร้านกาแฟ ทำตั้งแต่ซื้อของ คิดเงิน ทำตารางพนักงาน สอนพนักงาน อยู่หน้าร้าน ทำความสะอาด ทิ้งขยะ แล้วก็ซื้อของ ชีวิตวนไปวนมาอย่างนี้ เกือบเดือน เหนื่อยมาก อย่างที่เขาว่า เริ่มต้นยากที่สุด พอมันไปได้ มันจะมีแรงเฉื่อย ไปต่อเอง เราจะใช้แรงขับเคลื่อนน้อยลง(ฟิสิกส์มาก ๆ)

ในขณะที่ร้านกำลังรันไป เราก็ยังไม่ค่อยยอมปล่อย กลัวพนักงานจะทำได้ไม่ดี เพราะว่า พนักงานทุกคนสกิลการทำงานในร้าน เป็น 0 ตั้งแต่แรก แต่เรามีความเชื่อว่า คนเราทุกคนฝึกกันได้ ก็ลองเริ่มปล่อยดู เช่นให้เปิดร้านโดยไม่มีเรา โชคดีที่ตอนนั้นมีน้องที่เคยทำร้านกาแฟเก่า(ที่เขาลาออกมาแล้วก่อนหน้า)ด้วยกันมาช่วยด้วย เป็นบุญจริง ๆ

ในปลายเดือนนั้นเอง(วันที่ 27) งานในหน่วยงานของรัฐที่เราสมัครไว้ก็โทรมาตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง(บ้าป่าววะ ทุ่มครึ่งยังอยู่ที่ทำงาน)

ในหัวตอนนั้นนี่แบบ ....ทำยังไงดีวะ ร้านกาแฟก็เพิ่งเปิดได้เดือนเดียว อะไร ๆ ก็ยังไม่ลงตัว

และด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง ทำให้เราตัดสินใจ "เอาวะ" ไปก็ไป ตอนสมัครก็รู้อยู่แล้วว่าที่ทำงานมันอยู่กรุงเทพฯ ก็ยังสมัครไป ทีตอนนี้เค้าเรียกมาจริง ๆ ดันจะไม่ไปเหรอวะ ไปก็ไป!

"ขอแค่ให้เรามีจุดหมาย เดี๋ยวหนทางมันจะตามมาเอง" แค่เรารู้ว่าเราจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มีคนมากมายคอยช่วยเหลือเรา พี่เราไปเซอเวย์หอให้ เพื่อนแนะนำสถานที่ให้ คนที่ทำงานก็บอกจะซักผ้าให้(เราไม่เคยต้องซักผ้ารีดผ้าเอง เพราะเรามองว่ามันเสียเวลา เราส่งซักตลอด พอมากรุงเทพ แม่ง ค่าซักผ้าแพงอะ แถวนั้นไม่มีร้านซักรีดด้วย สรุปก็ซักรีดเอง และมาค้นพบตอนหลังว่า การรีดผ้าทำให้เกิดสมาธิ เรามีความสุขและสงบใจที่ได้เห็นผ้าเรียบ เออนั่น!) เออแต่ก็ไม่ได้หอบผ้ามาให้คนที่ทำงานซักนะ ฮ่าาาา

ระหว่างนั้นก็บริหารร้านอยู่ทางไกล และกลับเชียงใหม่เกือบทุกสัปดาห์ พูดว่ากลับทุกสัปดาห์เลยดีกว่า กลับไปซื้อของแมคโครนะจ๊ะ ไปใช้แรงงาน แล้วก็มากรุงเทพฯ มาทำงานนั่งโต๊ะ ใช้สมองทางวิชาการ

และมันก็ทำได้เว้ย รู้สึกได้ขยายคอมฟอร์ตร้อย เอ๊ย คอมฟอร์ตโซน! (กล้าเล่น หน้าตาเฉย)

อยู่ได้ 3 เดือน หัวหน้าบอกว่า เราไม่สมควรได้ทำงานที่นี่

เอ๊า ชีวิตตรู ถึงจุดเปลี่ยนได้อีก

แต่หัวหน้าก็บอกว่า ให้อยู่ต่ออีก 3 เดือน จะได้ครบประกันหอพัก(6 เดือน)โอเคมั้ย จะได้ไม่ต้องเสียค่าปรับ แน๊...มีการจ้างกันแบบนี้ได้ด้วย เราก็ตัดสินใจว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ดีวะ ขอเวลาไปคิด แต่ในใจคิดว่า แม่งจ้างแบบนี้ แบบไม่ได้อยากได้เราทำงาน แต่จ้างเพราะสงสารก็อย่าจ้างเลยดีกว่า

เพื่อนที่ทำงานบอกว่า 6 เดือน เลขสวยกว่า 3 เดือนน้าาา...

เราก็เลยอยู่ต่อ ซึ่ง 3 เดือนแรก เป็นช่วงนี้ กำลังได้รู้จักเมืองนี้ กำลังรู้ว่าวิถีชีวิตมันเป็นแบบนี้ ถ้าจะกลับเลย เหมือนยังไม่สุด

พอ 3 เดือนหลัง เริ่มปรับตัวได้มาก ๆ ก็เริ่มจะหลงรักเมืองนี้ ว้ายยยยย จริงเดะ! แหม่ ก็พูดให้เวอร์ ๆ หน่อย แต่มันก็มีมูลอยู่นะ มีอยู่วันหนึ่ง เดินที่สถานีบีทีเอส แล้วคิดขึ้นมาลอย ๆ ว่า "ฉันชักจะหลงรักเมืองนี้เข้าแล้วสิ" นี่มันคืออาการหลงแสงสีรึป่าวนะ?(ทำหน้างง)

อุตสาห์สมัครสมาชิกสระว่ายน้ำรายปี นี่ได้ใช้แค่ 3 เดือน อ้าาาาาากกกกกก!

ตอนนี้เริ่มทะยอยเก็บของกลับเชียงใหม่

Central World 2014, Bangkok


ปีนี้จะเคาท์ดาวน์ 2015 ที่เซ็นทรัลเวิร์ล

และกลับบ้านนอก

แล้วชีวิตเราจะเป็นเช่นไรต่อเนี่ย

ปล. สรุปว่ามาทำงานไม่ได้บรรจุเป็นพนักงาน ทางต้นสังกัดทุนบอกว่าใช้ทุนไม่ได้ อ้าวเฮ้ย แล้วที่อยู่มา 6 เดือนนี่ก็สูญเปล่าน่ะสิ ก็ใช่สิ! ใช้ทุนไม่ได้ แต่ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตก็ได้วะ สิ่งที่ดีที่สุดในการมาทำงานที่นี่คือ ทำให้เราปล่อยร้านได้ คือต้องทิ้งเลย ไม่เข้าร้านมากกว่า 48 ชั่วโมง ทำให้เรารู้ว่ามันทำได้นะ เข้าร้านสัปดาห์ละครั้งเนี่ย หรือสองสัปดาห์ครั้งก็เคยทำมาแล้ว นี่สินะ หนทางสู่การเป็น Entrepreneur

No comments:

Post a Comment

คอมเมนท์ดิ ดิ ดิ ดิ!

Stock Images

My latest images for sale at Shutterstock:

My most popular images for sale at Shutterstock: